ขั้นตอนการวางแผนการลงทุน


1.สำรวจความพร้อมทางการเงิน

ขั้นแรกต้องหันมาดูเงินในกระเป๋าว่ามีส่วนที่จะนำไปลงทุนได้เท่าไหร่
ทำบัญชีครัวเรือน โดยนำรายได้ลบรายจ่าย แล้วดูว่าเป็นบวกหรือลบ

     ถ้าเป็นบวกหมายความว่าคุณเริ่มต้นการลงทุนได้ทันที แต่หากติดลบคงต้องทำการบ้านมากขึ้น เช่น 
เร่งชำระหนี้สินก่อน หรือสามารถลดค่าใช้จ่ายตรงไหนได้บ้าง เมื่อได้ตัวเลขออกมาแล้วว่าจำนวนเงิน
ที่จะสามารถนำไปลงทุนได้เท่าไหร่ จึงค่อยเฟ้นหาวิธีทำเงินให้งอกเงยต่อไป ที่สำคัญไม่ควรกู้เงินมา
ลงทุน เงินลงทุนควรจะเป็นเงินเย็นที่ปลอดภาระหนี้สินจะดีกว่า
2.กำหนดเป้าหมายการลงทุน
การวางแผนการลงทุนไม่ต่างจากการวางแผนก่อนการเดินทาง 
คุณต้องรู้ว่าคุณจะไปที่ไหนจะได้เลือกได้ว่า จะเดินทางด้วยพาหนะอะไร พักค้างแรมที่ไหน ซึ่งในการวางแผนการลงทุนก็ต้องตอบให้
ได้ว่า เป้าหมายการลงทุน คืออะไรเพื่อแต่งงานสร้างครอบครัว 
เพื่อการศึกษาบุตร เพื่อชีวิตหลังเกษียณ ฯลฯ เนื่องจากเป้าหมายจะเป็นตัวกำหนดจำนวนเงินที่ต้องการและเวลาที่จะใช้ในการลงทุนและอัตราผลตอบแทนที่สอดคล้องกับเป้าหมายนั้น ๆ
   
ทั้งนี้ เป้าหมายอาจแปรเปลี่ยนได้ในแต่ละช่วงชีวิต เช่น หลังเรียนจบบางคนอาจอยากมุ่งเข็มสู่การทำงาน 
บางคนอาจอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ จากนั้นอาจมองเรื่องผ่อนบ้านเพื่อเตรียมแต่งงาน และเป้าหมาย
สุดท้ายก็อาจจะเป็นการเก็บสะสมเงินก้อนเพื่อไว้ใช้ในวัยเกษียณเป็นต้น
     เป้าหมายการลงทุนควรจะมีความชัดเจน เพื่อจะได้รู้ระยะเวลา จำนวนเงินลงทุน และอัตราผลตอบแทนที่สอดคล้องกับเป้าหมายนั้น ๆ เช่น สมมติว่า เรามีอายุ 25 ปี หากมีเป้าหมายเกษียณอายุในอีก 25 ปี แสดงว่าเรายังมีระยะเวลาลงทุนที่ค่อนข้างนาน อาจกันเงินมาลงทุนจำนวนหนึ่งไม่ต้องสูงมาก นำมาลงทุนอย่าง
สม่ำเสมอจนเกษียณ แต่หากมีเป้าหมายจะซื้อรถในอีก 6 เดือน มีเงินออมเริ่มต้นไม่มากนัก อาจต้องเลือกวิธี
ลงทุนที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่สูง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเร็วขึ้น แต่โอกาสที่จะไม่ได้ผลตอบแทนตามคาด
ก็สูงเหมือนกัน เป็นต้น
     ในกรณีที่เป้าหมายการลงทุนที่เราตั้งไว้ ต้องการได้รับผลตอบแทนสูง แต่เราเป็นผู้ที่ไม่สามารถรับ
ความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินต้นได้เลยนั้น แสดงว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้อาจไม่สอดคล้องกับตัวเราเอง
 
จึงควรต้องปรับเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ เช่น ตามตัวอย่างเดิมที่มีเป้าหมายที่จะซื้อรถในอีก 6 เดือน แต่หากเรา
รับความเสี่ยงไม่ได้มาก โอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายคงยาก เราอาจต้องกลับมาปรับเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ 
โดยอาจลดราคาของรถที่อยากได้ลง โดยเปลี่ยนไปซื้อรถมือสองหรือขยายระยะเวลาลงทุนให้นานขึ้น 
เป็นต้น
     โดยปกติแล้ว ผู้ลงทุนที่มีเป้าหมายการลงทุนที่ใช้ระยะเวลาในการลงทุนค่อนข้างยาวอาจสบายใจกว่า
หากจะนำเงินนั้นไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เพราะแม้จะเจอสภาวะเศรษฐกิจขึ้น ๆ ลง ๆ หรือ
ตลาดการลงทุนผันผวนบ้าง ซึ่งอาจทำให้ผลการลงทุนอาจมีขาดทุนไปบ้างในบางช่วงเวลา ก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไรเพราะลงทุนระยะยาวอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นเป้าหมายการลงทุนที่ใช้เวลาในการลงทุนระยะสั้น เช่น ต้อง
เก็บเงินเพื่อเรียนต่อ หรือซื้อรถ ไม่ควรนำเงินไปลงทุนแบบเสี่ยงมากจนเกินไป เพราะหากเกิดเจอช่วงผันผวนแล้ว ขาดทุนก็จะทำให้แผนการเรียนต่อได้รับผลกระทบได้

3.สำรวจความเสี่ยง
ความเสี่ยง คือ โอกาสที่ผลตอบแทนไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ทั้งในทางที่มากกว่าหรือน้อยกว่า
     ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการลงทุน คือ การลงทุนมีความเสี่ยง จะเสี่ยงมากเสี่ยงน้อยขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณไปลงทุน หากว่ากันตามหลักสากล high risk high (expected) return ก็หมายความว่า การลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง จะมีโอกาสได้กำไรงาม ๆ หรือขาดทุนถึงขั้นสูญเสียเงินต้นได้ และในทางตรงกันข้าม การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำย่อมให้ผลตอบแทนต่ำเช่นกัน
     ความเสี่ยงและผลตอบแทนในเรื่องการลงทุน เป็นเรื่องที่แยกจากกันไม่ได้ “ใครจะมาชวนลงทุนแล้วบอกว่าไม่เสี่ยงเลยแถมได้ผลตอบแทนดีอีกต่างหาก” อย่าไปหลงเชื่อเลยทีเดียว เพราะการลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยงนั้นไม่มี ถ้าคิดจะลงทุน ไม่ว่าจะเป็นในหุ้น ตราสารหนี้ หรือกองทุนรวม ต้องเข้าใจก่อนว่ามี
โอกาสที่จะขาดทุนได้ทั้งสิ้น
     ไม่ลงทุนดีกว่ามั้ย จะได้ไม่เสี่ยง? ประโยคนี้คงไม่เป็นจริงสักเท่าไร เพราะการไม่ลงทุนแม้ตัดปัญหาเรื่องความเสี่ยงจากการขาดทุน แต่อย่าลืมว่าอัตราเงินเฟ้อคอยจ้องกัดกินค่าเงินของคุณอยู่ตลอดเวลา เช่น 
ฝากเงินธนาคาร 100 บาท ได้ดอกเบี้ย 4% สิ้นปีจะมีเงิน 104 บาท (หากไม่ถูกหักภาษี) แต่ปีนั้น อัตรา
เงินเฟ้ออยู่ที่ 2% นั่นคือ ระดับราคาสินค้าตอนต้นปี 100 บาท ปลายปีจะเป็น 102 บาท เห็นได้ว่า คุณไม่ได้รวยขึ้น 4 บาท เพราะเงินเฟ้อทำให้คุณได้กำไรที่แท้จริงเพียง 2 บาท ดังนั้น หากเมื่อใดอัตราเงินเฟ้อมากกว่าอัตราผลตอบแทนที่คุณได้ อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงจะติดลบทันที

4.จัดพอร์ตการลงทุน
เมื่อสำรวจความพร้อมทางการเงินและกำหนดเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจนแล้ว 
ก็ได้เวลาจัดพอร์ตการลงทุนให้มีการกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ 
เช่น หุ้น ตราสารหนี้ เงินฝากธนาคาร ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยจัดการความเสี่ยงในการลงทุนได้

ลองค้นหาตัวเองว่า พอร์ตลงทุนแบบไหนที่เหมาะสมกับตัวเรา


รูปแบบการฝากเงินในธนาคารเพียงอย่างเดียวทำให้เงินโตช้า เราจึงควรหาวิธีเร่งการเติบโตเงินในกระเป๋า ด้วยการแบ่งเงินเพื่อลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์หลายๆ ประเภท เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนให้เป็นไปตามที่คาดหวัง ผ่านการลงทุนในทรัพย์สิน 3 กลุ่มหลัก ดังนี้1. กลุ่มสินทรัพย์เพื่อถือระยะสั้น สามารถออกตัวง่าย แต่ไม่ได้ดอกเบี้ยเป็นกอบเป็นกำ (ประมาณ 1%) 
มีไว้ใช้จ่ายประจำวันและกรณีฉุกเฉินต่างๆ ได้แก่ เงินฝากออมทรัพย์ หรือสินทรัพย์คล้ายเงินฝาก เช่น 
กองทุนรวมตลาดเงิน เป็นต้น กลุ่มสินทรัพย์เหล่านี้มีความเสี่ยงต่ำที่สุดในบรรดากลุ่มสินทรัพย์ทั้ง 3 กลุ่ม

2. กลุ่มสินทรัพย์เพื่อกระแสรายได้  ให้ผลตอบแทนค่อนข้างสม่ำเสมอ ได้แก่ เงินฝากประจำ พันธบัตร หุ้นกู้ กองทุนรวมตราสารหนี้ เป็นต้น กลุ่มสินทรัพย์เหล่านี้มีความเสี่ยงปานกลาง 

3. กลุ่มสินทรัพย์เพื่อเพิ่มมูลค่าเงินลงทุน เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง แต่จะช่วยเพิ่มมูลค่าเงินลงทุนในระยะยาว (อาจให้ผลตอบแทนมากกว่า 5%) เช่น หุ้น กองทุนรวมหุ้น ETF เป็นต้น  กลุ่มสินทรัพย์เหล่านี้
มีความเสี่ยงสูงสุดในบรรดากลุ่มสินทรัพย์ทั้ง 3 กลุ่ม 

ข้อสำคัญ คือ ทุกคนควรลงทุนในสินทรัพย์ทั้ง 3 กลุ่ม โดยมีสัดส่วนในแต่ละกลุ่มมากน้อยแตกต่างกันไปตามระดับความเสี่ยงที่แต่ละคนยอมรับได้และระดับผลตอบแทนที่คาดหวังตามเป้าหมายการลงทุนที่ตั้งไว้ สำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้น้อยควรลงทุนใน “กลุ่มสินทรัพย์เพื่อเพิ่มมูลค่าเงินลงทุน” ในสัดส่วนน้อย 
ส่วนคนที่รับความเสี่ยงได้มากควรลงทุนใน “กลุ่มสินทรัพย์เพื่อเพิ่มมูลค่าเงินลงทุน” ในสัดส่วนที่มาก 
                                        
คุณสามารถทดลองทำแบบประเมิน เพื่อค้นหาพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนที่ตั้งไว้ (Investment Objective Setting : IOS) ได้ตาม Link 
http://www.wealthmagik.com/IOS/IOSProfile.aspx
5.ประเมินผลการลงทุนเพื่อปรับพอร์ตการลงทุน
การลงทุนที่จะให้ผลสำเร็จ นอกจากจะมีการวางแผนที่ดีแล้ว ก็ควรหมั่นทบทวนและปรับปรุงแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบันอย่างสม่ำเสมอด้วย
เช่น อย่างน้อยทุก 6 เดือน หรือทุก 12 เดือน หรือทุกครั้งที่มีเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดทุน เช่น วิกฤติการณ์ตลาดหุ้นผันผวน ภาวะอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดมีแนวโน้มลดลง เป็นต้น เพราะเหตุการณ์เหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนในพอร์ตการลงทุนของเราได้ ทำให้เราต้องปรับสัดส่วนการลงทุน โดยเพิ่มการลงทุนในหลักทรัพย์/ทรัพย์สินที่ได้รับ
ผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวน้อยที่สุด

สรุปหลักง่าย ๆ ในการพิจารณาปรับปรุงพอร์ต คือ ดูการเปลี่ยนแปลงของตัวเราเอง เช่น หน้าที่การงานเปลี่ยน ได้เลื่อนขั้น ขึ้นเงินเดือน เป็นต้น ส่งผลให้เรามีรายได้เป็นกอบเป็นกำมากขึ้น เราก็อาจเพิ่มสัดส่วน
การลงทุนไปในสินค้าทางการเงินที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนเพิ่มมากขึ้น หรือลงทุนในระยะยาวที่สม่ำเสมอได้มากขึ้น หรืออีกกรณีหนึ่ง เราได้มีการศึกษาข้อมูลเกี่ยวการลงทุนในสินค้าทางการเงินที่มีความเสี่ยงมากขึ้น 
มีความรู้หรือมีประสบการณ์ในการลงทุนมากขึ้นจนมีความมั่นใจ ก็อาจเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินค้าที่เสี่ยงสูงได้เพิ่มขึ้น
     ได้เรียนรู้หลักการในการวางแผนการลงทุนเบื้องต้นแล้ว ลองเล่นเกมวางแผนการลงทุน ตาม
เป้าหมายการลงทุนและความเสี่ยงที่ตัวคุณยอมรับได้ เพื่อทำความรู้จักกับการจัดสรรเงินลงทุน สินค้าในการลงทุนต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น ในหัวข้อ 
“มาวางแผนการลงทุนกันเถอะ”



แสดงความคิดเห็น